กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism
หรือ S-R Associationism)
เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
(Stimulus) กับการตอบสนอง (Response) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออก
สามารถสังเกตจากภายนอกได้ ในแนวความคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า
การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมมีฐานความคิดที่สำคัญ
คือ
1.) พฤติกรรมทุกอย่างเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้
และสามารถสังเกตได้
2.) พฤติกรมทุกชนิดเป็นผลรวมของการเรียนเป็นอิสระหลายอย่าง
3.) การเสริมแรง (Reinforcement)
ช่วยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นได้
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
(Classical
Conditioning Theory)
แนวคิดของพาฟลอฟ (Pavlov)
นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย
เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลโนเบล จากงานวิจัยเรื่อง “สรีรวิทยาการย่อยอาหาร” เมื่อปี ค.ศ. 1904 ในการวิจัยเกี่ยวกับการย่อยอาหารของสุนัข
พาฟลอฟสังเกตเห็นสุนัขจีมีน้ำลายไหลออกมาเมื่อผู้ทดลองนำอาหารมาให้
พาฟลอฟสนใจพฤติกรรมน้ำลายไหลของสุนัขก่อนได้รับประทานอาหารมาก
จึงได้คิดทำการศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งพาฟลอฟได้ทำการทดลองต่อไปนี้
การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov)
พาฟลอฟได้สรุปว่า
ที่สุนัขน้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงสั่นกระดิ่ง แสดงว่าสนุขเกิดการเรียนรู้
เพราะสามารถเชื่อโยงเสียงสั่นกระดิ่ง กับการให้อาหาร
แนวคิดของวัตสัน (Watson)
นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
เป็นผู้ริเริ่ม คำศัพท์ Behaviorism เพราะมีความคิดเห็นว่าจิตวิทยาเป็นการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนั้น
ควรจะศึกษาพฤติกรรมที่สามารถวัดและสังเกตได้อย่างเด่นชัดเท่านั้น
และควรเป็นการศึกษาที่เป็นปรนัย มากกว่า เป็นอัตวิสัย
ที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของคน
วัตสันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคกับมนุษย์
เรื่อง “ความกลัว” วัตสันได้ทำการทดลองกับทารกอายุประมาณ
8-9
เดือน ชื่อ อัลเบิร์ต (Albert) โดยได้ทำการทดลองดังนี้
ให้เสียงดังกล่าวเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข
(UCS) ซึ่งจะก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ต้องการวางเงื่อนไข
(UCR) คือ
“ความกลัว” วัตสันได้ทำการทดลองเช่นนี้ถึงเจ็ดครั้ง ในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์
ปรากฏว่าหลังจากนั้นอัลเบิร์ตเห็นแต่เพียงหนู ก็แสดงความกลัวทันที
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ
(Operant
Conditioning Theory)
แนวคิดของธอร์นไดค์ (Thorndike)
ธอร์นไดค์ เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า
เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาการศึกษา และเป็นผู้คิดทฤษฎีที่เชื่อว่า
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้า กับ การตอบสนอง
ที่เรียกว่า S – R โมเดล อีกทั้งให้ความสำคัญกับการเสริมแรง (Reinforcement) ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยง และการตอบสนองเพิ่มขึ้น
โดยเน้นการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ ซึ่งธอร์นไดค์ได้ทำการทดลองดังต่อไปนี้
การทดลองของธอร์นไดค์ (Thorndike)
และจากการสังเกตครั้งต่อๆ
มาแมวใช้เวลาน้อยลงในการหาทางออกมากินอาหาร ซึ่งธอร์นไดค์เรียกการเรียนรู้ของแมว
ว่าเป็นการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (Trial and Error) ไม่ใช่การใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา และเชื่อว่าการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
จนกว่าค้นพบรูปแบบการตอบสนองที่ทำให้เกิดความพึงพอใจที่สุด ธอร์นไดค์ได้สรุปเป็นกฎแห่งการเรียนรู้
ไว้ดังนี้
1.
กฎแห่งเหตุผล (Low
of Effect) สิ่งเร้าไดที่มีการกระตุ้นให้มีการตอบสนองแล้ว
ทำให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจจากการกระทำนั้นแล้ว
จะเป็นผลที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ
2.
กฎแห่งความพร้อม (Low
of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีความพร้อมทั้งร่ายงกาย
และจิตใจ
3.
กฎแห่งการฝึกหัด (Low
of Exercise) การฝึกหัดหรือการกระทำบ่อยๆ
จะทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ทำซ้ำๆบ่อยๆ
การเรียนรู้นั้นอาจไม่คงทนถาวร และในที่สุดอาจลืมไปได้
4.
กฎแห่งการใช้ (Low of Use and Disuse)
การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
ถ้าได้มีการนำไปใช้บ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะมีความคงทนถาวร หากไม่มีการนำมาใช้บ่อยๆ
ก็อาจเกิดการลืมได้
แนวคิดของสกินเนอร์
(Skinner)
เบอร์รัส สกินเนอร์ ชาวอเมริกัน นักจิตวิทยาที่เป็นผู้คิดทฤษฎีการเรียนรู้
ที่เรียกว่า “Operant Conditioning” หรือ “Instrumental
Conditioning” ทฤษฎีของสกินเนอร์ยังสอดคล้องกับธอร์นไดค์เกี่ยวกับการเสริมแรงเป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้
แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์จะคิดว่าการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น
ระหว่างรางวัลกับการตอบสนองไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนองตามแนวความคิดของธอร์นไดค์ สกินเนอร์ได้ทำการทดลองดังนี้
การทดลองโดยปล่อยหนูที่หิวอาหาร
เข้าไปใน Skinner Box ภายในกล่องมีคาน
ซึ่งเมื่อหนูกดแล้วจะมีอาหารให้กินพร้อมกับเงื่อนไขที่มีเสียงดังแกรก
การทดลองของสกินเนอร์ (Skinner)
จากการทดลองปรากฏว่า
เมื่อหนูวิ่งไป มา แล้วบังเอิญไปกดถูกคานเข้า
จะมีเสียงดังแกรกและหลังจากนั้นจะมาอาหารหล่นลงมา หนูจึงรับหยิบมากิน จากนั้นหนูก็จะวิ่งไปมา
ในที่สุดหนูก็จะเฝ้าเวียนมากดคานและวิ่งไปคอยรับอาหาร
การเสริมแรง (Reinforcement)
สกินเนอร์กล่าวว่า พฤติกรรมส่วนมากของมนุษย์เป็นพฤติกรรมประเภท Behavior ซึ่งสิ่งที่มีชีวิต Organism
ทั้งคนและสัตว์เป็นผู้เริ่มที่จะกระทำ Operate ต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า Instrumental
Conditioning และการเรียนรู้แบบ Operant Conditioning นั้น ผู้เรียนต้องลงมือกระทำเองเปรียบดังเช่นหนูต้องกดคานจึงจะได้รับอาหาร
มิใช่เป็นการแสดงพฤติกรรมเนื่องมาจากสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น เหมือนกับการเรียนรู้แบบ
Classical Conditioning สกินเนอร์ได้แบ่งการเสริมแรงเป็น 2 ประเภท คือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น